พิมพ์หนังสือ
พิมพ์หนังสือ
ในปัจจุบัน ระบบการพิมพ์หนังสือ ที่นิยมมีอยู่ 2แบบ ซึ่งสามารถรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้ เป็นอย่างดี นั่นคือ
1.1 การพิมพ์หนังสือระบบออฟเซ็ท(OFFSET)
ย้อนหลังไปไม่กี่ปี ก่อนที่การพิมพ์หนังสือระบบดิจิตอลออฟเซ็ท จะเข้ามามีบทบาท การพิมพ์หนังสือส่วนใหญ่จะเป็นการพิมพ์ในระบบออฟเซ็ท จะต้องมีการทำเพลท(แม่พิมพ์) เพื่อใช้กับเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ท เหมาะสำหรับงานพิมพ์หนังสือจำนวนมาก เพราะเมื่อพิมพ์หนังสือจำนวนเยอะจะมีต้นทุนในการพิมพ์ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับระบบดิจิตอลออฟเซ็ท และความเร็วในการพิมพ์สูง เฉลี่ยวันนึงสามารถพิมพ์หนังสือได้หลายพันเล่ม หรืออาจถึงหมื่นเล่ม ต่อเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ท 1เครื่อง
การทำเพลทสำหรับเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ทในปัจจุบัน ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น และลดขั้นตอนการทำเพลทไปได้มากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน จากระบบการยิงฟิล์ม มาเป็นการทำเพลทด้วยเครื่อง CTP (Computer To Plate) แต่ก็ยังถือเป็นข้อเสีย เมื่อเทียบกับระบบดิจิตอล เมื่่อต้องการพิมพ์หนังสือปริมาณน้อย ยิ่งโรงพิมพ์หลายแห่งที่ไม่มีเครื่องทำเพลทเอง ต้องจ้างทำเพลทจากร้านทำเพลทโดยเฉพาะ ยิ่งเป็นการเพิ่มขั้นตอนในการทำงานขึ้นไปอีก
ในฐานะที่เป็นโรงพิมพ์หนังสือครบวงจร การทำเพลทเองจึงเป็นขั้นตอนหนึ่ง ในกระบวนการก่อนการพิมพ์(PREPRESS) ที่จะลดขั้นตอน และเพิ่มความรวดเร็วในการผลิตหนังสือ
1.2 การพิมพ์หนังสือระบบดิจิตอลออฟเซ็ท(DIGITAL PRINTING (PRINT ON DEMAND))
เทคโนโลยีที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ดิจิตอลนั้น คล้ายคลึงกับ เครื่องพิมพ์เลเซอร์เจ็ทตามบ้านทั่วไป เพียงแต่อัพเกรดมา เพื่อรองรับงานให้มี
- คุณภาพที่ดีกว่า
- สวยงามกว่า
- คมชัดกว่า
- และต้นทุนในการพิมพ์ถูกกว่า อย่างเห็นได้ชัด
แต่ราคาเครื่องก็แพงขึ้นตามความสามารถที่เพิ่มขึ้นไปด้วย เรียกง่ายๆว่าเป็นเครื่องพิมพ์เลเซอร์ระดับพรีเมื่ยมก็ว่าได้ ซึ่งเมื่อเราเปรียบเทียบการทำงานของเครื่องพิมพ์ดิจิตอล ที่คล้ายคลึงกับเครื่องเลเซอร์เจ็ทแล้ว นั่นทำให้เราเห็นภาพได้ง่ายขึ้นว่า งานพิมพ์ดิจิตอลนั้นเหมาะสมกับ งานพิมพ์จำนวนน้อย ไม่มีขั้นต่ำ ลูกค้าสั่งพิมพ์หนังสือ 1เล่ม เราก็สามารถพิมพ์ให้ได้ เพียงลูกค้าเตรียมไฟล์สำหรับพิมพ์งานมาพร้อม ซึ่งอาจจะเป็นไฟล์ประเภทAI / INDD หรือ ไฟล์PDF ก็ได้


2. เปรียบเทียบการพิมพ์หนังสือระบบดิจิตอล และ ระบบออฟเซ็ท
หัวข้อ
- ราคา
- จำนวนงาน
- ความเร็วในการพิมพ์
- ความง่ายในขั้นตอนการผลิต
- การจัดส่ง
- แหล่งผลิต
การพิมพ์หนังสือระบบดิจิตอลออฟเซ็ท
- จำนวนน้อยราคาถูก จำนวนเยอะราคาสูง
- เหมาะกับงานจำนวนน้อย ไม่มีขั้นต่ำ
- ความเร็วน้อย -ปานกลาง
- ใช้งานง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก
- จัดส่ง kerryได้
- ร้านงานพิมพ์ / โรงพิมพ์
การพิมพ์หนังสือระบบออฟเซ็ท
- จำนวนน้อยราคาสูง จำนวนเยอะราคาต่ำ
- เหมาะกับงานจำนวนมาก
- ความเร็วสูง
- ต้องมีช่างพิมพ์โดยเฉพาะ /ใช้งานยาก
- ส่งขนส่ง หรือ รถบริษัทฯ
- โรงพิมพ์
อย่างไรก็ตาม ในการที่จะเลือกว่าหนังสืองานไหนจะเลือกพิมพ์กับระบบอะไรนั้น เป็นหน้าที่ของโรงพิมพ์ที่จะให้คำแนะนำที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้หนังสือราคาถูกที่สุด โดยที่คุณภาพการพิมพ์ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคมชัด, สีสรรงานพิมพ์ ฯลฯ ปกติพิมพ์ แค ต ตา ล็อก 100 เล่ม, พิมพ์หนังสือ 1เล่ม,10เล่ม หรือไม่เกิน100เล่ม เราจะพิมพ์ระบบดิจิตอลออฟเซ็ตให้ลูกค้า แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าและองค์ประกอบหลายๆอย่างด้วยเช่นกัน
3. ขนาดหนังสือมาตราฐาน
การพิมพ์หนังสือขนาดมาตรฐาน จะช่วยให้กระดาษที่ตัดจากใบใหญ่เสียเศษน้อย ใช้งานได้คุ้มค่า และที่สำคัญช่วยให้ราคาหนังสือถูกลงอย่างเห็นได้ชัด ในการสั่งพิมพ์หนังสือจำนวนมาก ต้นทุนหลักก็คือค่ากระดาษนี่แหละ ฉะนั้นเราลองมาทำความเข้าใจขนาดมาตราฐานของหนังสือดูว่า มีกี่ขนาด ขนาดไหนจะเหมาะกับงานพิมพ์หนังสือของเรามากที่สุด เพื่อช่วยให้ราคาหนังสือถูกลงได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยใช้เกณฑ์การแบ่งตาม มาตราฐาน ISO 216 ซึ่งเป็นมาตราฐานสากล ว่าด้วยขนาดกระดาษ ที่ประเทศส่วนใหญ่ใชักัน แบ่งตามมาตราฐานแบบ A และ แบบB เรียงจากขนาดเล็กไปใหญ่ ดังนี้
มาตราฐานกระดาษแบบ A
- หนังสือขนาด A5 = 14.8 * 21.0 ซม. หรือ 5.83 * 8.27 นิ้ว
- หนังสือขนาด A4 = 21.0 * 29.7 ซม. หรือ 8.27 * 11.69 นิ้ว
มาตราฐานกระดาษแบบ B
- หนังสือขนาด B6 = 12.5 * 17.6 ซม. หรือ 4.9 * 6.9 นิ้ว
- หนังสือขนาด B5 = 17.6 * 25.0 ซม. หรือ 6.9 * 9.8 นิ้ว
- หนังสือขนาด B4 = 25 * 35.3 ซม. หรือ 9.8 * 13.9 นิ้ว
สำหรับงานพิมพ์หนังสือนั้น ขนาดมาตราฐานของกระดาษ ที่โรงพิมพ์สั่งมาจากร้านขายกระดาษ ก็จะมี 24*35นิ้ว / 25*36นิ้ว / 31*43นิ้ว
กระดาษมาตราฐาน A จะตัดมาจากกระดาษขนาด 24*35นิ้ว และ 25*36นิ้ว

กระดาษมาตราฐาน B จะตัดมาจากกระดาษขนาด 31*43นิ้ว

4. เนื้อกระดาษ / ชนิดกระดาษ
เนื้อกระดาษที่นำมาใช้พิมพ์นังสือ แบ่งเป็น 2ประเภทหลัก คือ
ชนิดกระดาษปกหนังสือ
จะใช้เป็นกระดาษแข็งความหนา190g- 360g หรืออย่างน้อยจะไม่บางไปกว่ากระดาษเนื้อใน (หนังสือบางประเภท ใช้กระดาษปก และ เนื้อใน ความหนาเท่ากัน เช่น หนังสือเชิญประชุม วารสาร ฯลฯ) โดยส่วนมากกระดาษที่ใช้ทำปกคือ กระดาษอาร์ตการ์ต เพราะเป็นกระดาษที่สวยงาม ราคาถูก สามารถเพิ่มลูกเล่นต่างๆง่าย และใช้กันเป็นส่วนใหญ่ นอกเหนือจากนั้น จะมีกระดาษการ์ดขาว หรือถ้าออกแนวรักษาสิ่งแวดล้อม ก็จะเป็นกระดาษกรีนการ์ด นอกจากเนื้อกระดาษที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว จะมีหนังสืออยู่อีกประเภทหนึ่งที่ปกจะมีความพิเศษกว่าปกติคือเป็นหนังสือปกแข็ง (หนาประมาณ1มม.) ซึ่งเป็นการนำกระดาษอาร์ตแบบบางประมาณ 160g มาหุ้มกระดาษจัวปัง (เป็นกระดาษแข็งประเภทเดียวกับที่ใช้ทำขาตั้งฐานปฏิทินตั้งโต๊ะ) เพื่อเพิ่มความแกร่งให้ปกหนังสือ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่ต้องการโชว์ผลงาน,รูปภาพ ต้องการเก็บไว้นานๆ ตัวอย่างหนังสือปกจัวปัง เช่น หนังสือรุ่น, ไดอารี่, หนังสือที่ระลึก ฯลฯ
ชนิดกระดาษเนื้อใน
จะใช้กระดาษความหนาตั้งแต่ 60g- 160g ส่วนใหญ่จะใช้เป็นกระดาษปอนด์, กระดาษอาร์ตมัน, กระดาษถนอมสายตา(กระดาษกรีนรีด) การเลือกกระดาษเนื้อใน จะมีผลต่อความหนาของหนังสือ และวิธีการเข้าเล่มหนังสือซึ่งเราจะได้กล่าวต่อไป โดยปกติกระดาษปอนด์80g จำนวน100แผ่นจะมีความหนาประมาณ0.8ซม ถ้าเราไม่ต้องการหนังสือหนามากเพราะจะพกพาและจัดเก็บลำบาก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความหนาถึง 160g หรือหนังสือกระดาษปอนด์70gที่มีจำนวนหน้า40-60หน้า อาจจะเลือกการเข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคาหรือไสกาวก็ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนความหนาเป็น 160g ก็อาจจะเข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคาไม่ได้ หรืออาจจะเข้าเล่มได้ไม่สวย ฯลฯ
5. ขั้นตอนการพิมพ์หนังสือ
ขั้นตอนในการพิมพ์หนังสือสามารถแบ่งได้เป็น 3ส่วนหลัก คือ
ขั้นตอนก่อนการพิมพ์ (PREPRESS)
- ลูกค้าเปิดใบสั่งซื้อมา ทีมงานกราฟฟิคจะตรวจความเรียบร้อยของไฟล์งาน ถ้าไฟล์งานเรียบร้อยดีจะส่งปรู๊ฟดิจิตอลให้ดู 1รอบ เพื่อให้ลูกค้าตรวจทานและ คอนเฟิร์มก่อนสั่งพิมพ์
- เมื่อขั้นตอนปรู๊ฟผ่าน จะเริ่มต้นจัดวางหน้าหนังสือลงใบพิมพ์ ใน1ใบพิมพ์จะลงได้หลายหน้า เรียกว่าการ เลย์งาน ซึ่งการเลย์งานพิมพ์หนังสือในระบบดิจิตอล และระบบออฟเซ็ทจะไม่เหมือนกัน เพราะเครื่องพิมพ์ของทั้ง 2ระบบ รองรับขนาดใบพิมพ์ได้แตกต่างกัน ถ้าเป็นเครื่องพิมพ์ดิจิตอลขนาดใบพิมพ์ได้ประมาณ A3 สามารถลงA4ได้2แผ่น ส่วนเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ทมี 2ขนาด ถ้าเป็นเครื่องพิมพ์ตัด2 ลงA4ได้ 8แผ่น แต่ถ้าเป็นเครื่องพิมพ์ตัด4 ลงA4ได้ 4แผ่น ซึ่งจะลงใบพิมพ์แบบไหน ทางโรงพิมพ์หนังสือจะดูตามความเหมาะสมให้ลูกค้าเป็นอย่างดี
- เมื่อเลย์งานเรียบร้อยแล้ว ทางโรงพิมพ์หนังสือจะตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งนึง ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย หากเป็นการพิมพ์ระบบดิจิตอล ก็สามารถสั่งพิมพ์หนังสือได้เลย แต่หากเป็นการพิมพ์ระบบออฟเซ็ท จะส่งไปขั้นตอนยิงเพลทด้วยเครื่อง CTP

ขั้นตอนการพิมพ์หนังสือ (PRESS)
ในปัจจุบัน คุณภาพงานพิมพ์หนังสือ ระหว่างระบบดิจิตอล และ ระบบออฟเซ็ท แทบไม่แตกต่างกัน ในระบบดิจิตอลนั้นจะง่ายมาก หลังจากที่เลย์งานเรียบร้อย ก็สามารถสั่งพิมพ์หนังสือได้ทันที ซึ่งผู้ใช้งานหรือผู้สั่งพิมพ์นั้นไม่จำเป็นต้องมีทักษะสูงมากในการใช้เครื่องพิมพ์ ต่างจากระบบออฟเซ็ทโดยสิ้นเชิง ช่างพิมพ์ระบบออฟเซ็ทจะต้องมีการฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ เพื่อที่จะคุมเครื่อง/ ตั้งเครื่อง จนพิมพ์หนังสือออกมาได้ตามที่ต้องการ และมีความยุ่งยากในการใช้งานอยู่มาก แต่ด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการพิมพ์ที่ต่ำมากของเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ทสำหรับการพิมพ์หนังสือจำนวนมาก การพิมพ์ระบบออฟเซ็ท จึงมีความสำคัญ ไม่ต่างจาก การพิมพ์ระบบดิจิตอล เพียงแต่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกันเท่านั้น

ขั้นตอนหลังการพิมพ์(POSTPRESS)
หลังจากที่ผ่านขั้นตอนการพิมพ์แล้ว เราจะได้ใบพิมพ์ออกมา ซึ่งใน1ใบพิมพ์จะมีหน้าหนังสืออยู่หลายหน้า ขึ้นอยู่กับขนาดใบพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ประเภทใด เช่นเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ทขนาดตัด2 จะลงหน้าหนังสือได้ 16หน้า เราเรียกว่า 16หน้ายก ถ้าหนังสือเล่มนั้นมี 64หน้า เราก็จะมีใบพิมพ์ทั้งหมด 4ยก ในการเข้าเล่มหนังสือ1เล่ม
ก่อนการเข้าเล่ม จะต้องมีการนำใบพิมพ์มาพับ ให้ได้ขนาดใกล้เคียงกับงานจริงก่อน ถ้างานสำเร็จขนาด A4 ก็จะนำใบพิมพ์ขนาดตัด2ที่ได้ พับไปพับมาเพื่อให้ได้งานที่ใกล้เคียง A4 ตอนเป็นใบพิมพ์เลขหน้าที่เลย์ไว้ จะไม่ได้เรียงกันตามหน้า 1,2,3,4,5,6,…. แต่เมื่อพับสำเร็จแล้วเลขหน้าหนังสือจะเรียงกันเรียบร้อยตามที่เราได้ เลย์งานไว้
เมื่อเข้าเล่มหนังสือเรียบร้อยก็จะตัดเจียรหนังสือ 3ด้าน(ไม่ตัดด้านสันหนังสือ) ก็จะออกมาเป็นหนังสือที่สวยงามอย่างที่เราๆ ได้เห็นกัน.

6. เทคนิคการเพิ่มความสวยงาม
การเพิ่มความสวยงามให้หน้าปกหนังสือ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจ น่าอ่าน ให้กับหนังสือได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากเนื้อหาภายในเล่มที่ดีอยู่แล้ว ดังคำที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ” ซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน
การเคลือบUV
เป็นการเคลือบน้ำยาเงาทั้งหน้าของหนังสือ เพิ่มความเงางามให้หนังสือได้มาก ในราคาที่ถูก และกันน้ำได้บ้าง
การเคลือบPVCเงา
เป็นการเคลือบPVC ที่มีความเงาพอๆกับการเคลือบน้ำยาUV แต่ทนทานต่อการฉีกขาดได้ดี กันน้ำได้ดีกว่า และราคาก็สูงกว่าด้วย
การเคลือบPVCด้าน
คุณสมบัติคล้ายการเคลือบPVCเงา แต่จะเป็นฟิล์มด้าน งานที่ออกมาก็จะดูสวยหรูไปอีกแบบ
การเคลือบSPOT UV
เป็นเทคนิคการเคลือบเงาเฉพาะจุด เช่น การต้องการโลโก้เด่น หรือ รูปภาพเด่น เราก็เลือกเคลือบเฉพาะโลโก้หรือรูปภาพได้ มักทำคู่กับการเคลือบPVCด้าน เพราะจำทำให้จุดที่เราเน้น เงาเด้งขึ้นมาได้ แต่การเคลือบSPOT UV จะมีให้เห็นไม่บ่อยเหมือนการเคลือบแบบอื่น เพราะราคาค่อนข้างสูง

เทคนิคเคลือบ UVเงา จะเงาทั้งหน้า

เทคนิคปั้มฟอยด์บนกระดาษคราฟ

เทคนิคเคลือบ SPOT UV บน PVC ด้าน
การปั้มฟอยด์
เป็นการเพิ่มความสวยงามให้หนังสือ อย่างเห็นได้ชัด เพราะจุดที่ปั้มฟอยด์จะมีสีสรรเงาวาว เมทาลิก จากเนื้อฟอยด์ โดยจะมีให้เลือกหลายสีทั้ง สีทอง, สีบรอนซ์, สีทองแดง, สีเขียว, สีชมพู, สีน้ำเงิน, สีแดง ฯลฯ ราคาขึ้นอยู่กับ พื้นที่ๆเราจะปั้มฟอยด์ ยิ่งพื้นที่ปั้มฟอยด์มากราคายิ่งสูง
การปั้มนูน
เฉพาะจุดที่เราต้องการเน้น จะนูนและมีมิติมากขึ้น
การปั้มไดคัท
เพื่อให้เป็นรูปร่างแปลกๆ หรือปั้มเพื่อต้องการโชว์รูปภาพสวยๆที่อยู่ในหน้าถัดจากหน้าปก
เทคนิคต่างๆที่กล่าวมานั้น สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกันได้ เพื่อให้จุดที่เราต้องการเน้น เด่นได้มากที่สุด เช่น เคลือบPVCด้าน + SPOT UV, ปั้มฟอยด์ + ปั้มนูน, เคลือบPVCด้าน + SPOT UV + ปั้มนูน เป็นต้น ถึงอย่างไรก็ตาม ยิ่งเพิ่มเทคนิคมากขึ้น ราคาหนังสือก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย บางทีการเคลือบ PVCด้านเพียงอย่างเดียวก็สามารถเพิ่มคุณค่าหนังสือได้เยอะแล้ว เพราะประเด็นหลักคือ การจัดวางอาร์ตเวิร์คและหัวข้อที่ปรากฏบนหน้าหนังสือมากกว่า ที่จะเป็นตัวบอกคุณค่าในหนังสือเล่มนั้น
7. การเข้าเล่มหนังสือ
การเข้าเล่มหนังสือ เป็น 1ในขั้นตอนหลังการพิมพ์ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งในขั้นตอนนี้จะจำแนกให้ทราบว่าการเข้าเล่มหนังสือมีกี่แบบ แต่ละแบบมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
เย็บแม็กมุงหลังคา
เป็นการเข้าเล่มหนังสือแบบเย็บแม็กที่สันหนังสือ 2จุด กระดาษที่นำมาเข้าเล่ม มาจากใบพิมพ์ที่พับแล้ว หรือเป็นคู่พับครึ่ง ใน1คู่มีหน้าหนังสือ4หน้า ดังนั้นจำนวนหน้าของงานหนังสือเข้าเล่มเย็บมุงหลังคาจะต้องมีทีละ4หน้า เริ่มตั้งแต่ 8,12,16,20,24…….เหมาะสำหรับหนังสือที่มีขนาดบางจำนวนหน้าไม่มาก ราคาเข้าเล่มถูก จำนวนหน้าโดยประมาณถ้าเป็น ปกอาร์ตการ์ด230g เนื้อในกระดาษปอนด์70g ก็ไม่ควรเกิน 60หน้า ถ้าหนังสือหนาไปจะทำให้เข้าเล่มลำบาก และงานสำเร็จจะโป่ง ไม่สวย
หนังสือที่เหมาะกับการเข้าเล่มเย็บมุงหลังคา เช่น สมุดเรียน, วาสาร, จุลสาร, แคตตาล็อค, หนังสือสวดมนต์, หนังสือการ์ตูน, สมุดวาดรูป, คู่มือสินค้า, หนังสือข่าวสารประชาสัมพันธ์, เมนูอาหาร ฯลฯ
ไสสันกาว
การเข้าเล่มแบบไสกาว เหมาะสำหรับหนังสือที่มีความหนา ดูเรียบร้อย,สวยงาม ราคาถูก และเป็นการเข้าเล่มหนังสือที่นิยมมากที่สุด ถ้าเป็นงานที่พิมพ์มาจากระบบออฟเซ็ท จะใช้ใบพิมพ์เนื้อในที่พับแล้วมาเรียงยกจนครบเล่ม จากนั้นตัดเจียรสันจนเรียบเสมอกันแล้วทากาวเพื่อยึดติดกับปกหนังสือ หรือถ้าเป็นงานพิมพ์จำนวนน้อยที่พิมพ์จากระบบดิจิตอล เราอาจจะตัดเป็นแผ่นและเรียงหน้ามาให้เรียบร้อย แล้วจึงทากาวเข้าเล่มก็ได้ แต่ความทนทานอยู่ในระดับปานกลาง-สูง หากใช้โดยไม่ดูแลรักษา หน้าหนังสือมีโอกาสหลุดออกจากเล่มได้
หนังสือที่เหมาะกับการเข้าเล่มแบบไสสันกาว เช่น นิตยสาร, หนังสือเรียน, คู่มือสินค้า, รายงานการประชุม, หนังสือนิยาย, แคตตาล็อค, หนังสือธรรมะ, หนังสือวิชาการ, หนังสือรุ่น,
เย็บกี่ไสกาว
การเข้าเล่มแบบเย็บกี่ไสกาว จะมีความคงทนกว่า วิธีไสกาวมาก ราคาสูง เหมาะสำหรับหนังสือที่มีคุณค่า, ต้องการเก็บรักษานาน และต้องการความคงทนในการใช้งาน เนื้อในไม่หลุดออกจากเล่ม การเลย์หน้าหนังสือ และวิธีการเข้าเล่มก็จะแตกต่างจาก การเข้าเล่มแบบไสกาวธรรมดาเช่นกัน
วิธีการเข้าเล่มแบบคร่าวๆคือ ใบพิมพ์ที่ออกมาจากเครื่องพิมพ์จะถูกมาพับเป็นยกคล้ายกับการไสกาว ต่างกันที่การจัดเรียงยก คือการเย็บกี่จะนำยกที่พับแล้วมาสอดกันประมาณ 1-5ยก ขึ้นอยู่กับจำนวนหน้าในแต่ละยกที่เลย์งานไว้ และความหนาของเนื้อกระดาษ การนำยกมาสอดกันแบบนี้เรียกว่า “กี่”
ใน1กี่ หน้าหนังสือจะถูกเรียงลำดับเรียบร้อย เช่น 1กี่มี 24หน้า ก็จะเริ่มตั้งแต่หน้าที่ 1,2,3,4…24 แล้วนำกี่ที่ได้ไปเย็บด้วย”ด้าย” จากนั้นนำกี่อื่นๆมาเรียงต่อกันจนครบทั้งเล่ม แล้วอัดด้วยกาวเย็นก่อนเพื่อความแข็งแรง แน่นหนา ขั้นสุดท้ายจึงนำเนื้อในที่ได้มาอัดกาวร้อนเพื่อติดกับปก จึงเป็นอันเสร็จขั้นตอน
ปกหนังสือของการเย็บกี่ไสกาว สามารถเลือกได้ 2แบบคือ
- ปกกระดาษอาร์ตการ์ด(เหมือนหนังสือทั่วไป)
- ปกแข็ง เป็นการนำกระดาษจัวปัง (เหมือนขาตั้งปฏิทินตั้งโต๊ะ) มาหุ้มด้วยกระดาษอาร์ตมัน(ควรเคลือบPVCใสหรือ PVCด้าน เพื่อเพิ่มความทนทานให้หนังสือ) ปกชนิดนี้จะมีความแข็งเป็นพิเศษ หนาประมาณ 1มม.
หนังสือที่เหมาะกับการเข้าเล่มแบบเย็บกี่ไสกาว เช่น หนังสือวิชาการ, หนังสือธรรมะ, หนังสือรุ่น, หนังสือแนวอนุรักษ์, หนังสือเทิดพระเกียรติ ฯลฯ
เข้าห่วงกระดูกงู
งานเข้าเล่มห่วงกระดูกงู หรือ เข้าสันกระดูกงูแบบที่เป็นลวดเหล็กนั้น เหมาะกับ หนังสือไดอารี่ หรือ สมุดไดอารี่ และยังสามารถเข้าเล่มปฏิทินตั้งโต๊ะ และปฏิทินโปสเตอร์ได้อีกด้วย โดยจะใช้ห่วงที่เบอร์เล็กลงมา ห่วงกระดูกงูมีสีให้เลือกมากมาย ทั้ง สีขาว / สีดำ /สีเขียว / สีฟ้า / สีทอง / สีบรอนซ์ ฯลฯ ทำให้หนังสือหรือสมุดดูน่าสนใจมากขึ้น แต่ราคาเข้าเล่มก็สูงขึ้นตามไปด้วย
เข้าเล่มกาวหัว
การเข้าเล่มกาวหัว เป็นการเข้าเล่มสำหรับงานบิล และกระดาษโน๊ต การเข้าเล่มกาวหัวจะไม่เน้นความทนทานของหนังสือ เพราะวัตถุประสงค์คือต้องการที่จะฉีกออกได้ ถ้าเป็นงานบิลจะมีปกบางๆหุ้ม นิยมใช้กระดาษคราฟ ส่วนกระดาษโน๊ตจะมีการกาวหัวทั้งแบบหุ้มปก และไม่หุ้มปก ขั้นตอนการทำงานง่าย ราคาถูก และสามารถกาวหัวได้ทีละหลายๆเล่ม
โดยหลังจากที่พิมพ์งานเสร็จ ช่างจะนับกระดาษโน๊ตในขณะที่เป็นใบพิมพ์ เพื่อนำกระดาษแข็งรองหลังมาคั่น ( ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าสั่งกระดาษโน้ตก้อนละกี่ใบ ) จากนั้นค่อยตัดกระดาษโน๊ตให้เป็นขนาดสำเร็จ แล้วกาวหัวพร้อมกันทีละหลายๆเล่ม รอจนกาวแห้งค่อยฉีกกระดาษโน๊ตออกเป็นก้อน หุ้มพลาสติก เป็นอันจบขั้นตอนกาวหัว
8. เช็คราคาหนังสือ
เช็คราคางานพิมพ์หนังสือ แคตตาลอค A3พับครึ่ง (A4 8หน้า) อาร์ตมัน 130g
- ราคาพิมพ์หนังสือ 10เล่ม= ราคาเล่มละ 230 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 30เล่ม= ราคาเล่มละ 100 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 50เล่ม= ราคาเล่มละ 70 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 500เล่ม= ราคาเล่มละ 20 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 1000เล่ม= ราคาเล่มละ 13 บาท
เช็คราคางานพิมพ์หนังสือ แคตตาลอค A3พับครึ่ง (A4 12หน้า) อาร์ตมัน 130g
- ราคาพิมพ์หนังสือ 10เล่ม= ราคาเล่มละ 240 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 30เล่ม= ราคาเล่มละ 110 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 50เล่ม= ราคาเล่มละ 80 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 500เล่ม= ราคาเล่มละ 30 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 1000เล่ม= ราคาเล่มละ 17 บาท
เช็คราคางานพิมพ์หนังสือ แคตตาลอค A3พับครึ่ง (A4 16หน้า) อาร์ตมัน 130g
- ราคาพิมพ์หนังสือ 10เล่ม= ราคาเล่มละ 250 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 30เล่ม= ราคาเล่มละ 120 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 50เล่ม= ราคาเล่มละ 90 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 500เล่ม= ราคาเล่มละ 38 บาท
- ราคาพิมพ์หนังสือ 1000เล่ม= ราคาเล่มละ 21 บาท